Thursday, June 30, 2016

คู่มือเกษียณอายุ

คู่มือเกษียณอายุสำหรับพนักงานโรงแรมนารายณ์

สิ่งที่จะต้องทำ เพื่อสิทธิประโยชน์ต่างๆ หลังเกษียณอายุ 


  1. เช็คเงินเดือนครั้งสุดท้าย ว่าจะได้รับเท่าไร?  เนื่องจากทางโรงแรมมีเงินบำเหน็จตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้กับพนักงานที่ชดเชยตามกฎหมาย  (คู่มือพนักงาน)
  2. เช็คจำนวนวันหยุดที่ไม่ได้ใช้ เพราะสามารถนำมาคำนวณเป็นเงินให้
  3. กรณีสมัครกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (สินสถาพร)  จะได้รับเช็คคืนในเดือนถัดไป ภายในวันที่ 20 ของเดือน หรือสามารถโทรมาสอบถามได้ที่ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ โทร. 02-237-0100 ต่อ 8400 8405  8411
  4. ทางโรงแรมนารายณ์มีของที่ระลึกให้คือ พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 พร้อมกรอบหลุยส์ และประกาศนียบัตร
  5. ตรวจสอบสิทธิประกันสังคมดังนี้
    หลังจากวันเกษียณอายุ รอทางโรงแรมนารายณ์แจ้งออกประมาณ 15 วัน แล้วไปติดต่อสำนักงานประกันสังคมเพื่อรับสิทธิ์เงินบำนาญชราภาพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน คือถ้ามีการจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน จะได้รับเงินบำนาญชราภาพซึ่งเป็นเงินรายเดือนที่จะได้รับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสียชีวิต แต่หากจ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน ก็จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพซึ่งเป็นเงินก้อนที่มอบให้เพียงครั้งเดียว

สิทธิประโยชน์จากประกันสังคม

กรณีชราภาพ

หลักเกณฑ์และเงื่อนไข

 เงื่อนไขการเกิดสิทธิกรณีบำนาญชราภาพ
  • จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า180 เดือน ไม่ว่าระยะเวลา 180 เดือนจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม
  • มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
  • ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

ประโยชน์ทดแทนกรณีบำนาญชราภาพ

    -  กรณีจ่ายเงินสมทบ มาแล้ว ไม่น้อยกว่า 180 เดือน มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนใน อัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้น สุดลง
    -  กรณีที่มีการจ่าย เงินสมทบเกิน 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราบำนาญชราภาพตามข้อ 1 ขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อ ระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน สำหรับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบเกินกว่า 180 เดือน

เงื่อนไขการเกิดสิทธิกรณีบำเหน็จชราภาพ
  • จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน
  • ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
  • มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย

 ประโยชน์ทดแทนกรณีบำเหน็จชราภาพ

    -  กรณีที่มีการจ่าย เงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ มีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ มีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน ตามที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด
      -  กรณีผู้รับเงิน บำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือน นับแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับคราวสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตาย

 หลักฐานที่ต้องใช้เพื่อขอรับประโยชน์ทดแทน กรณีชราภาพ

  1. แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ (สปส. 2-01)
  2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  3. สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประกันตนและของทายาทผู้มีสิทธิ (กรณีผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพถึงแก่ความตาย)
  4. ใบมรณะบัตรพร้อมสำเนา (กรณีผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพถึงแก่ความตาย)
  5. สำเนาสมุดบัญชี เงินฝากธนาคารหน้าแรก ซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชี (กรณีขอรับเงินทางธนาคาร) ผ่านทางบัญชีธนาคารของผู้ประกันตน 11 ธนาคาร ดังนี้
  1. ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)
  2. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)
  3. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)
  4. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
  5. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน)
  6. ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)
  7. ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
  8. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
  9. ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด(มหาชน)
  10. ธนาคารออมสิน (ไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากอยู่ในระหว่างการปรับปรุงโปรแกรม)
  11. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรห์การเกษตร (ธ.ก.ส.) (ไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากอยู่ในระหว่างการปรับปรุงโปรแกรม)

ขั้นตอนการขอรับประโยชน์ทดแทน

หลักเกณฑ์ที่จะทำให้ท่านมีสิทธิ คือ

  1. ผู้ประกันตน/ทายาทผู้มีสิทธิ ต้องกรอกแบบ สปส. 2-01 พร้อมลงลายมือชื่อและนำมายื่นที่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา (ยกเว้น สำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข)  หรือยื่นขอรับทางไปรษณีย์โดยมีหลักฐานครบถ้วน
  2. เจ้าหน้าที่ตรวจหลักฐานและพิจารณา
  3. สำนักงานประกันสังคมมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณา
  4. พิจารณาสั่งจ่าย เงินสด/เช็ค (ผู้ประกันตน/ผู้มีสิทธิมารับด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับแทน) ส่งธนาณัติให้ผู้ประกันตน โอนเข้าบัญชีธนาคารตามบัญชีของผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนหมายเหตุ : เงินบำนาญชราภาพ จ่ายเป็นรายเดือน เงินบำเหน็จชราภาพ จ่ายครั้งเดียว

1. ประโยชน์ทดแทนกรณีบำเหน็จชราภาพ (สำหรับผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบกรณีชราภาพไม่ถึง 180 เดือน)

1.1 กรณีที่จ่ายเงินสมทบกรณี ชราภาพ ไม่ถึง 12 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพมีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบ ที่ผู้ประกันตนจ่ายสมทบประกันตนอายุ 55 ปี และสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง ขณะส่งเงินสมทบได้ 10 เดือน ประโยชน์ทดแทน กรณีบำเหน็จชราภาพจะได้รับ 300 x 10 = 3,000 บาท 
1.2 กรณีที่จ่ายเงินสมทบกรณีชราภาพ ตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพมีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบ ที่ผู้ประกันตนและนายจ้างนำส่งพร้อมผลประโยชน์ตอบแทน ตามที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด

ตัวอย่าง ผู้ประกันตนอายุ 55 ปี สิ้นสุดสภาพการเป็นลูกจ้างวันที่ 28 พฤศจิกายน 2547 ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทน ในวันที่ 10 ธันวาคม 2547 เจ้าหน้าที่วินิจฉัยในวันเดียวกัน โดยมีรายการนำส่งเงินสมทบ กรณีชราภาพของผู้ประกันตน ดังนี้

ปี
จำนวนเงินสมทบ
นายจ้าง
ผู้ประกันตน
รวม
2542
850
850
1,700
2543
1,550
1,550
3,100
2544
2,300
2,300
4,600
2545
3,200
3,200
6,400
2546
4,100
4,100
8,200
2547
2,800
2,800
5,600

รวม

14,800

14,800

29,600

2.วิธีคำนวณผลประโยชน์ตอบแทน

ปี
เงินสมทบ
เงินสมทบสะสม x อัตรา
ผลประโยชน์ตอบแทน
2542
1,700
1,700 x 2.4%
= 40.80
2543
3,100
(1,700 + 3,100 = 4,800 ) x 3.7%
= 177.60
2544
4,600
(4,800 + 4,600 = 9,400) x 4.2%
= 394.80
2545
6,400
(9,400 + 6,400 = 15,800) x 4.3%
= 679.40
2546
8,200
(15,800 + 8,200 = 24,000) x 6.5%
= 1,560.00
2547
5,600
(24,000 + 5,600 = 29,600) x 2.00% x 11/12
=  542.67


รวม
3,395.27

หมายเหตุ 11/12 หมายถึง ผู้ประกันตนนำส่งเงินสมทบมาแค่ 11 เดือน ภายใน 1 ปี
เงินบำเหน็จชราภาพและผลประโยชน์ตอบแทนที่ผู้ประกันตนจะได้รับ คือ 29,600 + 3,395.27 = 32,995.27บาท
3. การคำนวณประโยช์ทดแทนกรณีบำนาญชราภาพ
(สำหรับ ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบกรณีชราภาพ มาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน ครบอายุ 55 ปี และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลงจะได้รับเงินบำนาญชราภาพ ในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย)

ตัวอย่างที่ 1

20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย = 20x13.000 /100 = 2,600
ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพเดือนละ 2,600 บาท ไปจนตลอดชีวิต
การหาค่าเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย คือ นำค่าจ้าง 60 เดือนสุดท้าย รวมกันแล้วหารด้วย 60
ค่าจ้างเฉลี่ย = ผลรวมของค่าจ้าง 60 เดือน  จำนวนเดือน (60 เดือน)  
   
กรณีที่จ่ายเงิน สมทบเกิน 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบทุก 12 เดือน สำหรับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน  เช่น จ่ายเงินสมทบมาได้ 193 เดือน จะได้รับเงินบำนาญชราภาพในอัตรา 21.5% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย เป็นต้น

ตัวอย่างที่  2

ผู้ประกันตนทำงานได้รับเงินค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท มาตลอด และส่งเงินสมทบมาแล้ว 20 ปี อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง จะได้รับเงินบำนาญชราภาพเดือนละเท่าใด และหากเสียชีวิตภายใน 5 ปี จะได้รับเงินหรือไม่อย่างไร

          1. ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญ

              15 ปี (แรก) ได้อัตราเงินบำนาญ 20%
              5 ปี (หลัง) ได้อัตราเงินบำนาญ (1.5% (ปรับเพิ่ม) × 5ปี ) = 7.5%
              รวมอัตราเงินบำนาญ 20 ปี = 20% + 7.5% = 27.5%
              ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญรายเดือน = 27.5% ของ 15,000 บาท
                                                              = 4,125 บาท/เดือนจนตลอดชีวิต  

          2. กรณีผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพเสียชีวิตภายใน 5 ปี

ทายาทผู้มีสิทธิ จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญรายเดือน
  • 4,125 บาท × 10 เท่า = 41,250 บาท
          ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการจ่ายเงินสมทบรายเดือนกับกองทุนประกันสังคมนั้นมิได้สูญเปล่า เพราะนอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์ระหว่าง  การทำงานมากมายแล้ว เมื่อถึงวัยเกษียณก็ยังคง อุ่นใจได้ว่ามีเงินออมชราภาพไว้เป็นหลักประกัน

ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทรได้ที่สำนักงานประกันสังคม โทร 1506

ออกแบบชีวิต....หลังเกษียณ

นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข  ให้สัมภาษณ์ “เดลินิวส์ออนไลน์” ว่า  ตลอดชีวิตของคนเราถูกกำหนดตลอดว่าเราต้องทำอะไร เช่น วัยเด็กก็เรียนผ่านชั้นหนึ่งขึ้นอีกชั้นหนึ่ง พอวัยทำงานเราก็ทำงาน มีเจ้านายสั่ง มีงานเป็นตัวกำหนด แต่วัยเกษียณจะเป็นวัยที่ว่างและมีอิสรภาพ ดังนั้นหลายคนจะไม่มีเป้าหมาย เพราะปกติแล้วเป้าหมายชีวิตของเราถูกกำหนดโดยการเรียน การทำงาน พอเราว่าง มีอิสระในการเลือกเป้าหมายจึงเป็นช่วงสำคัญมากที่เราจะต้องรู้วิธีการตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตอย่างถูกต้อง 

“ผู้ที่เกษียณอายุราชการหลายคน ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่ว่าฉันเกษียณแล้วจะไปอยู่สบาย ๆ แต่ไม่รู้เลยว่าในแต่ละวันมันมีเวลามากขึ้น ถ้าเขาอยู่แบบไม่มีจุดมุ่งหมายชีวิตจะเคว้งท้ายที่สุดจะเบื่อ”

คำแนะนำ ข้อแรก คือ จำเป็นที่จะต้องมีเป้าหมายในชีวิตแม้อายุจะมากแล้วก็ตาม ที่จริงอายุ 60 ปี ต้องบอกว่าไม่สูงมาก เพราะอายุขัยของคนเราตอนนี้ประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 70 กว่าปี และมีแนวโน้มไปที่ 80 ปีได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงยังมีเวลาอีก 20 ปีหลังเกษียณที่จะใช้ชีวิต 20 ปีสามารถตั้งเป้าหมายได้หลายอย่างสามารถทำสิ่งที่มีคุณค่าได้

ข้อสอง สิ่งที่จะชวนผู้ที่เกษียณดูแลจัดการ คือ ทำอย่างไรให้รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจเรา ปกติเวลาทำงานเสร็จ สำเร็จ เรารู้สึกดี เวลาทำอะไรก็ตามเรารู้สึกภาคภูมิใจ อย่างผู้สูงอายุแหล่งความภาคภูมิใจอยู่ที่ไหน อันนี้ต้องหา ถ้าเอาความภาคภูมิใจไปผูกกับลูกหลานอาจจะลำบากถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน  ดังนั้นจึงควรมีการสร้างความภาคภูมิใจและรู้สึกดีแบบง่าย ๆในแต่ละวัน ยกตัวอย่าง เช่น การที่เราจะสามารถมีความสงบสุขทางใจด้วยวิธีการต่าง ๆ อยู่กับธรรมชาติ ตรงนี้ก็เป็นการสร้างความสุขใจได้ด้วยตัวเอง  ก็เป็นความภูมิใจได้อย่างหนึ่ง หรือการเอาเวลาที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น  ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อชุมชนช่วยจัดเวทีให้ผู้สูงอายุมีที่ที่จะไปช่วย ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ชีวิตของเขา 

ข้อสาม คือ ความสัมพันธ์ที่ยังต้องเกื้อกูลกัน จริง ๆ วัยสูงอายุความมีอิสรภาพ โดยเงื่อนไขตอนนี้หลาย ๆ คนลูกหลานไม่ได้อยู่ด้วย ดังนั้นเราต้องดูว่าจะอยู่ในสังคมอย่างไร การมีสายสัมพันธ์วงเพื่อนพูดคุยพบปะกัน จะทำให้รู้สึกว่าชีวิตยังมีอะไรให้สนุกสนาน  ตื่นเต้น  ท้าทาย 

อีกประการที่เป็นตัวเชื่อมโยงกัน คือ เรื่องของสุขภาพ และการเงิน  การดูแลสุขภาพต้องสะสมต้นทุนมาก่อนหน้านี้  แต่ถ้ามีโรคประจำตัว หัวใจสำคัญคือต้องรักษาโรคประจำตัวนั้นให้ดี สร้างหลักสุขภาพง่าย ๆ ที่เรารู้ดีอยู่แล้ว ไม่วาจะเป็นเรื่องของการกิน การออกกำลังกาย และการฝึกจิต เพื่อให้มีความสุขและผ่อนคลาย 

โดยรวม ๆ วัยสูงอายุจึงเป็นวัยท้าทาย ยังมีโจทย์ที่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขาควรจะมีชีวิตอย่างไร และวัยนี้เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เลือก ทำกิจกรรมอะไรก็ได้ในแต่ละวันที่ทำให้รู้ว่ามีหน้าที่ มีการดูแล ทำให้ชีวิตในแต่ละวันมีโครงสร้าง รู้ว่ากี่โมงทำอะไร การรู้ว่ากี่โมงทำอะไร หรือการมีกิจวัตร จะทำให้ไม่เคว้งจนเกินไป ดังนั้นในแต่ละวันควรมีกิจกรรมที่หลากหลาย อย่างเช่น การเข้านอนตื่นนอนก็เป็นเรื่องหนึ่ง การปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ทำสมาธิ การออกกำลังกายก็เรื่องหนึ่ง การติดต่อพบปะเพื่อนฝูง ไปจนถึงการเอาเวลาที่มีอยู่ เอาความสามารถที่มีอยู่ไปแบ่งปันคนอื่น  สิ่งเหล่านี้เป็นการออกแบบเวลาของตัวเอง เพื่อจะได้ใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ก็จะทำให้มีสุขกายและสุขภาพจิตดี.
จัดทำโดยฝ่ายทรัพยากรบุคคล
โรงแรมนารายณ์

No comments:

Post a Comment